ความเป็นมา
ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุ
ศาสนาในชุมชนกุฎีจีน
ชุมชนกุฏีจีนมี 3 ศาสนา 4 ความเชื่อของชุมชนกุฎีจีน ประกอบด้วย
โบสถ์วัดซางตาครู้ส โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้ากรุ งธนบุรีลักษณะของอาคารจะเป็นแบบผสมผสานที่โดดเด่นที่สุดเป็ นหอคอยทรงโดมที่มีความงดงามเป็นวัดคริสต์ศาสนานิกายโรมั นคาทอลิกแห่งแรกในฝั่งธนบุรีคำว่าซางตาครู้สในภาษาโปรตุ เกสหมายถึง กางเขนศักดิ์สิทธิ์ชาวคริสต์ของชุมชนนี้มีทั้ งชาวญวนและคนไทยที่อพยพมาจากกรุ งศรีอยุธยาที่มาอยู่กระจัดกระจายในบางกอกได้รวมตัวกันมาขอพระราชทานที่ดิ นจากพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งพระองค์พระราชทานที่ดิ นแปลงนี้ให้โดยตั้งชื่อในตอนนั้นว่าค่ ายซานตาครู๊สปัจจุบันชาวคริสต์ที่นี่ยังคงรั กษาวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ของชาวโปตุเกสโดยเฉพาะเรื่ องอาหารซึ่งชาวโปตุเกสเป็นผู้ นำวัฒนธรรมเรื่องอาหารโดยเฉพาะขนมหวานเข้ามาเผยแพร่ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่เฉพาะขนมฝรั่งกุฎีจีนแต่ยั งรวมไปถึงขนมกุดสลัง และขนมกวยตัสแต่ในปัจจุบันบ้านที่เราได้เข้ าไปสัมผัส คงเหลือบ้านที่ทำขนมฝรั่งกุฎีจี นเพียง 2 หลัง ชุมชนรอบโบสถ์แสดงให้เราเห็ นความเชื่อเเรกของชุมชน "กะดีจีน"ความเชื่อของชาวคริสต์นิ กายคาทอลิก
วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารเราได้มีโอกาสเยี่ ยมชมพระอารามหลวงขนาดใหญ่ริมฝั่ งแม่น้ำเจ้าพระยาก่อสร้างจะคล้ายกับวัดพนัญเชิ งที่พระนครศรีอยุธยามี พระขนาดใหญ่คือ"หลวงพ่อโต"หรื อที่ชาวจีนเรียกว่า"ซำปอกง"หรือ"ซำปอฮุ ดกง" ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ในสมัยรั ชกาลที่ 4ได้พระราชทานนามพระองค์นี้ให้ สอดคล้องกับพระประธานในวิ หารหลวงวัดพนัญเชิงว่า"พระพุทธไตรรัตนนายก" เราได้เห็นบรรยากาศของประชาชนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ ยมชมและกราบองค์พระกันอย่างไม่ ขาดสายแม้จะอยู่บนพื้นฐานความขัดแย้ งระหว่างผู้บริหารวัด กับคนในชุมชนจุดนี้สื่อให้เราได้สัมผัสกั บความเชื่อที่สอง ของชุมชน "กะดีจีน"นั่นคือความเชื่อของชาวพุทธนิ กายเถรวาท
ศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยน อยู่ใกล้ๆ กับ "วัดกัลยาณมิตร"ศาลเจ้านี้สร้างขึ้นในสมัยรั
3.ศาสนาอิสลาม
มัสยิดบางหลวง(กุฎีขาว) ผู้นำศาสนาเล่าให้เราฟังว่ามัสยิดนี้เป็นมัสยิดแห่งเดี
บทสัมภาษณ์บุคคลที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความหลากหลายทางศาสนา
ผู้สัมภาษณ์ : สวัสดีครับ ผมทรงพล ศรีศักดา วันนี้ผมก็จะมาสัมภาษณ์บุคคล ที่มีความรู้และความเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับชุมชนกุฎีจีน แต่ว่าจะมีใครกันบ้างเดี๋ยวเราไปฟังกันเลยครับบุคคลแรกที่เราจะเข้าไปสัมภาษณ์นะครับก็คือ อาจารย์วรวุฒิ อ่อนน้วม ซึ่งเป็นคนที่พาผมไปเที่ยวชมที่ ชุมชนกุฏีจีน เดี๋ยวเราไปพูดคุยกับ อาจารย์วรวุฒิ อ่อนน่วม กันเลยครับ
คำถาม : ชุมชนกุฎีจีนมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างครับ
อ.วรวุฒิ : ถ้าพูดถึงชุมชนกุฎีจีนสิ่งที่เรียกว่าเป็น Signature ของชุมชนกุฎีจีน ก็คือศาสนาที่แตกต่างวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้คนที่แตกต่างเชื้อชาติที่สามารถอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ Signature ทีเป็น Landmark สำคัญ เราจะเห็นว่ามันจะมี โบสถ์ซานตาครู้ส มัสยิดบางหลวง และก็วัดกัลยาณมิตร แล้วก็จะมีศาลเจ้าจีนอีกศาลเจ้าหนึ่ง เฉพาะนั้นถ้าประเมินจากสิ่งปลูกสร้าง ก็จะเห็นได้ว่ามีความหลากหลายมากแล้วก็อยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ เอาแค่คนพุทธกับคนอิสลาม วัดกับมัสยิดอยู่ใกล้กัน น่าสนใจมากว่าเค้าอยู่ร่วมกันได้อย่างไรผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน แล้วยังมีชนชาติโปรตุเกส ที่เข้ามาพักอาศัยแล้วก็กลายเป็นต้นตระกูลของคนโปรตุเกสที่อยู่ที่นั่นด้วย ยิ่งทำให้ชุมชนนี้มีความน่าสนใจในเรื่องของการศึกษา วัฒนธรรมของผู้คน แล้วก้เป็น ConCept ที่ผู้คนส่วนใหญ่แล้ว อาจารย์ นักศึกษา ส่วนใหญ่จะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน
คำถาม : ศาสนามีผลไหมที่ทำให้วัฒนธรรมต่างๆมีความแตกต่างกันไปด้วย
อ.วรวุฒิ : แน่นอนศาสนามันเป็นคติ มันเป็นเหมือนประเพณีนิยม มีวิถีการใช้ชีวิตที่ต่างกันด้วยจุดยืดทางหลักความคิดทางศาสนามันทำให้แนวปฏิบัติทุกอย่างมันต่างกันหมด คิดอย่างง่ายๆ อิสลามกับพุทธ เราจะพบว่าพุทธวัดไทย จะมีหมา หมาวัดอยู่ในวัดเยอะมาก แต่ในขณะที่คนอิสลามเค้ายุ่งกับหมาไม่ได้ด้วยหลักศาสนาของเค้า และพื้นที่มันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เค้าทำยังไงที่ทำให้เรื่องของหมาไม่มีปัญหากับคนสองศาสนา แล้วก้เรื่องของการเข้าวัดทำบุญที่ต่างด้วยวิถีกัน อิสลาม ละหมาด มีการสวดอะไรต่างๆ พุทธก็จะมีนิยมประเพณีของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน แต่เค้าเป็นคนไทยพูดภาษาไทยเหมือนกัน แต่ว่าความแตกต่างทางวิถีปฏิบัติมันต่างกัน
คำถาม : วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาจารย์เคยได้เข้าไปศึกษาไหมครับว่าเค้าใช้ชีวิร่วมกันอย่างไร
อ.วรวุฒิ : จากการที่ได้ศึกษาพูดคุย ในเบื้องต้นจากการพานักศึกษาไปทัศนศึกษาลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับคนในชุมชน ก็พบว่ายากจังเลยดูลำบากจังเลยกับการที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันแล้วแตกต่างกันมากๆ แต่พอเราไปพูดคุย มันกลายเป็นว่า เค้าก็ทำกันมาแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมันเป็นวิถีชีวิตที่มันตกทอดกันมาแบบนี้ ก็คือคนพุทธเข้าใจคนอิสลาม ว่าเข้ามีข้อปฏิบัติเค้ามีข้อห้ามอะไรบ้าง คนอิสลามเองก็เข้าใจวิถีแบบพุทธว่าเค้ามีหลักศาสนาอย่างไร เราเชื่อว่าถ้าถามอิสลามว่า ศีล 5 ของพุทธมีอะไรบ้าง เค้าตอบได้ แล้วถ้าถามคนพุทธที่เข้าวัดพุทธว่า หลักศาสนาข้อห้ามของศาสนาอิสลามมีอะไรบ้างเค้าก็ตอบได้ เพราะฉนั้นเมื่อเค้าต่างคนต่างรู้ว่าหลักเกณฑ์ข้อห้ามแต่ละศาสนาต่างกันอย่างไร เค้าเข้าใจซึ่งกันและกัน เลยทำให้เค้าอยู่ร่วมกันได้ นี่คือสิ่งที่เราค้นพบจากการที่ได้พูดคุยกับเค้า แล้วมันก็กลายเป็นแบบแผนวิถีชีวิตที่ก็ทำกันมาแบบนี้ ไม่ได้ต้องฝืน ต้องยาก ต้องลำบาก แต่มันเป็นแบบนี้มาเป็น 100 ปี แล้วเค้าก็อยู่แบบนี้ได้แล้วมันก็มีความสุข แล้วสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า พื้นที่รอยต่อระหว่างชุมชนกับพุทธกับชุมชนอิสลาม ก็จะเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นเล็กๆอยู่ตรงกลาง แล้วก็มีกระดานบอร์ด มีการเขียนว่าทำบุญร่วมกัน มื้อเช้าเป็นหน้าที่ของคนพุทธ มื้อกลางวันเป็นหน้าที่ของคนอิสลาม คือกลายเป็นว่าภายใต้งานทำบุญงานเดียวกันมี 2 ศาสนาอยู่ร่วมกัน แม้จะเป็นเพียงแค่กระดานชร์อค แต่พอนักศึกษาได้เห็น จะเห็นได้ว่ามันน่าสนใจมาก ในขณะที่เรากำลังหาคำตอบกันวุ่นวายไปหมดกับการที่ 3 ชุมชน ชายแดนภาคใต้จะอยู่ร่วมกันอย่างไรให้มีความสุข แต่ในพื้นที่ตรงนี้กับอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบชิวๆ แบบธรรมดา แบบไม่ต้องพยายาม อันนี้จึงเป็นสิ่งที่ ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน สถานศึกษาที่ไหนที่สอนเรื่องวัฒนธรรม ก็มักจะพามาที่ชุมชนกุฏีจีน
บรรยากาศชุมชนกุฎีจีน
บรรยากาศชุมชนกุฎีจีน
ชุมชนกุฎีจีนถือเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางด้านศาสนา และเเต่ละศาสนาจะทำให้เกิดวิถีการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ผู้คนก็สามารถอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างนี้ได้อย่างลงตัวเเละไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่กันและกัน ถือได้ว่าชุมชนกุฎีเป็นชุมชนต้นแบบในการอยู่ร่วมกันของผู้คนได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันของทั้งศาสนาและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
บรรณานุกรม/อ้างอิง
1.)บรรณานุกรมฐานข้อมูลออนไลน์
คนึงนิจ อนุโรจน์. ชุมชนกุฎีจีน [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก : https://www.gotoknow.org/posts/609136 (วันที่สืบค้น : 11 ตุลาคม 2561).
2.)ฐานข้อมูลบุคคล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวุฒิ อ่อนน่วม. รองคณะบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตและอาจารย์ผู้สอนรายวิชาการสื่อสารในวัฒนธรรมไทย.
อำเภอเมืองปทุม. จังหวัดปทุมธานี. สัมภาษณ์. 5 ตุลาคม 2561

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 4.0 International License.