วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

กุฎีจีน พื้นที่แตกต่างที่ลงตัว

ความเป็นมา



         
       ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่2 ในปี พ.ศ. 2310 แต่ปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสเหล่านั้นแทบไม่เหลือเค้าลางของรูปร่างหน้าตาแบบตะวันตกแล้วชุมชนแห่งนี้มีโบสถ์ซางตาครู้ส เป็นศูนย์กลางของชุมชนชุมชนแห่งนี้มีขนมฝรั่งกุฎีจีนขาย ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของชุมชนนี้และขนมกุฎีจีนถือได้ว่าเป็นขนมพื้นเมืองดั้งเดิมของกรุงเทพมหานครจัดเป็นขนมโบราณที่ทำสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยดัดแปลงมาจากขนมหลายชนิดของโปรตุเกสจากตำรับของท้าวทองกีบม้าชุมชนกุฎีจีนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ที่ถนนเทศบาลสาย 1แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานครตรงข้ามกับปากคลองตลาดในฝั่งพระนคร โดยชุมชนกุฎีจีน (หรือสะกด กะดีจีน)เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ของฝั่งธนบุรีที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีและยังเป็นย่านชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติศาสนาและวัฒนธรรมอย่างมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครจะเห็นได้จากเป็นแหล่งที่ตั้งศาสนสถานที่สำคัญหลายศาสนาทั้งวัดประยุรวงศาวาส, วัดซางตาครู้ส, ศาลเจ้าเกียนอันเกง,วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และ มัสยิดบางหลวง ตลอดริ่มฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
  
ศาสนาในชุมชนกุฎีจีน
          ชุมชนกุฏีจีนมี 3 ศาสนา 4 ความเชื่อของชุมชนกุฎีจีน ประกอบด้วย

1.ศาสนาคริสต์







      โบสถ์วัดซางตาครู้ส โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีลักษณะของอาคารจะเป็นแบบผสมผสานที่โดดเด่นที่สุดเป็นหอคอยทรงโดมที่มีความงดงามเป็นวัดคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกแห่งแรกในฝั่งธนบุรีคำว่าซางตาครู้สในภาษาโปรตุเกสหมายถึง กางเขนศักดิ์สิทธิ์ชาวคริสต์ของชุมชนนี้มีทั้งชาวญวนและคนไทยที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาที่มาอยู่กระจัดกระจายในบางกอกได้รวมตัวกันมาขอพระราชทานที่ดินจากพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งพระองค์พระราชทานที่ดินแปลงนี้ให้โดยตั้งชื่อในตอนนั้นว่าค่ายซานตาครู๊สปัจจุบันชาวคริสต์ที่นี่ยังคงรักษาวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวโปตุเกสโดยเฉพาะเรื่องอาหารซึ่งชาวโปตุเกสเป็นผู้นำวัฒนธรรมเรื่องอาหารโดยเฉพาะขนมหวานเข้ามาเผยแพร่ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่เฉพาะขนมฝรั่งกุฎีจีนแต่ยังรวมไปถึงขนมกุดสลัง และขนมกวยตัสแต่ในปัจจุบันบ้านที่เราได้เข้าไปสัมผัส คงเหลือบ้านที่ทำขนมฝรั่งกุฎีจีเพียง 2 หลัง ชุมชนรอบโบสถ์แสดงให้เราเห็ความเชื่อเเรกของชุมชน "กะดีจีน"ความเชื่อของชาวคริสต์นิกายคาทอลิก                                                            
                                                          
2.ศาสนาพุทธ 





     วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหารเราได้มีโอกาสเยี่ยมชมพระอารามหลวงขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก่อสร้างจะคล้ายกับวัดพนัญเชิงที่พระนครศรีอยุธยามีพระขนาดใหญ่คือ"หลวงพ่อโต"หรือที่ชาวจีนเรียกว่า"ซำปอกง"หรือ"ซำปอฮุดกง" ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ในสมัยรัชกาลที่ 4ได้พระราชทานนามพระองค์นี้ให้สอดคล้องกับพระประธานในวิหารหลวงวัดพนัญเชิงว่า"พระพุทธไตรรัตนนายก" เราได้เห็นบรรยากาศของประชาชนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมและกราบองค์พระกันอย่างไม่ขาดสายแม้จะอยู่บนพื้นฐานความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารวัด กับคนในชุมชนจุดนี้สื่อให้เราได้สัมผัสกับความเชื่อที่สอง ของชุมชน "กะดีจีน"นั่นคือความเชื่อของชาวพุทธนิกายเถรวาท








       ศาลเจ้าเกียนอันเกง ป็นศาลเจ้าของชาวจีนฮกเกี้ยน อยู่ใกล้ๆ กับ "วัดกัลยาณมิตร"ศาลเจ้านี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3ด้วยสถาปัตยกรรมจีนในสมัยราชวงศ์เชงเพื่อประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม วันนี้เราได้รับรู้ว่าชาวจีนนั้นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีศาลเจ้านี้จึงความสำคัญต่อชุมชนแห่งนี้และชาวกรุงธนบุรีอย่างมากและยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวคนหลายเชื้อชาติเข้าไว้รวมกันซึ่งสันนิษฐานว่ากุฎีจีนที่เรียกกันมานานนั้นได้มาจากชาวจีนที่มาตั้งรกรากอาศัยอยู่ก่อนนั่นเองนับเป็นความเชื่อที่สามของชุมชน "กะดีจีน" ความเชื่อของชาวพุทธนิกายมหายาน


3.ศาสนาอิสลาม  







          มัสยิดบางหลวง(กุฎีขาว) ผู้นำศาสนาเล่าให้เราฟังว่ามัสยิดนี้เป็นมัสยิดแห่งเดียวในโลกที่สร้างในลักษณะโบสถ์ทรงไทยแบบพุทธศาสนาซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมของไทยและมุสลิมมีหน้าบันทั้งหน้าและหลังประดับด้วยปูนปั้นลายศิลปะ 3 ชาติกรอบหน้าบันเป็นศิลปะไทยเครื่องลำยองในหน้าบันเป็นปูนปั้นลายก้านแย่งใบฝรั่งเทศแบบฝรั่ง และส่วนดอกไม้เป็นดอกเมาตาลแบบจีน ซึ่งงดงามมาก ภายในมัสยิดจะปูพื้นด้วยหินอ่อนหน้าต่างแต่ละบานจะตกแต่งด้วยจานสีขาวที่เขียนบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ทางศาสนาอิสลามกลุ่มชนมุสลิมที่มาตั้งรกรากในชุมชนนี้มีจำนวนมากรองจากชาวจีนเราได้มีโอกาสพูดคุยกับอิหม่ามที่ดูแลที่นี่จึงได้เห็นภาพการบริหารจัดการดูแลกลุ่มชนอิสลามของชุมชนนี้ที่สามาระอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนาได้อย่างสันติบนพื้นฐานความเอื้ออาทรกันและกัโดยยังคงยึดมั่นในการเป็นมุสลิมและการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนมุสลิมในชุมชนนับเป็นความเชื่อที่สี่ของชุมชน "กะดีจีน" ความเชื่อของชาวมุสลิม



บทสัมภาษณ์บุคคลที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความหลากหลายทางศาสนา



ผู้สัมภาษณ์ : สวัสดีครับ ผมทรงพล ศรีศักดา วันนี้ผมก็จะมาสัมภาษณ์บุคคล ที่มีความรู้และความเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับชุมชนกุฎีจีน แต่ว่าจะมีใครกันบ้างเดี๋ยวเราไปฟังกันเลยครับบุคคลแรกที่เราจะเข้าไปสัมภาษณ์นะครับก็คือ อาจารย์วรวุฒิ อ่อนน้วม ซึ่งเป็นคนที่พาผมไปเที่ยวชมที่  ชุมชนกุฏีจีน เดี๋ยวเราไปพูดคุยกับ อาจารย์วรวุฒิ อ่อนน่วม กันเลยครับ



คำถาม : ชุมชนกุฎีจีนมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างครับ



อ.วรวุฒิ : ถ้าพูดถึงชุมชนกุฎีจีนสิ่งที่เรียกว่าเป็น Signature ของชุมชนกุฎีจีน ก็คือศาสนาที่แตกต่างวัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้คนที่แตกต่างเชื้อชาติที่สามารถอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ Signature ทีเป็น Landmark สำคัญ เราจะเห็นว่ามันจะมี โบสถ์ซานตาครู้ส มัสยิดบางหลวง และก็วัดกัลยาณมิตร แล้วก็จะมีศาลเจ้าจีนอีกศาลเจ้าหนึ่ง เฉพาะนั้นถ้าประเมินจากสิ่งปลูกสร้าง ก็จะเห็นได้ว่ามีความหลากหลายมากแล้วก็อยู่ในพื้นที่เดียวกันได้ เอาแค่คนพุทธกับคนอิสลาม วัดกับมัสยิดอยู่ใกล้กัน น่าสนใจมากว่าเค้าอยู่ร่วมกันได้อย่างไรผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน แล้วยังมีชนชาติโปรตุเกส ที่เข้ามาพักอาศัยแล้วก็กลายเป็นต้นตระกูลของคนโปรตุเกสที่อยู่ที่นั่นด้วย ยิ่งทำให้ชุมชนนี้มีความน่าสนใจในเรื่องของการศึกษา วัฒนธรรมของผู้คน แล้วก้เป็น ConCept ที่ผู้คนส่วนใหญ่แล้ว อาจารย์ นักศึกษา ส่วนใหญ่จะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน


คำถาม : ศาสนามีผลไหมที่ทำให้วัฒนธรรมต่างๆมีความแตกต่างกันไปด้วย



อ.วรวุฒิ : แน่นอนศาสนามันเป็นคติ มันเป็นเหมือนประเพณีนิยม มีวิถีการใช้ชีวิตที่ต่างกันด้วยจุดยืดทางหลักความคิดทางศาสนามันทำให้แนวปฏิบัติทุกอย่างมันต่างกันหมด คิดอย่างง่ายๆ อิสลามกับพุทธ เราจะพบว่าพุทธวัดไทย จะมีหมา หมาวัดอยู่ในวัดเยอะมาก แต่ในขณะที่คนอิสลามเค้ายุ่งกับหมาไม่ได้ด้วยหลักศาสนาของเค้า และพื้นที่มันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เค้าทำยังไงที่ทำให้เรื่องของหมาไม่มีปัญหากับคนสองศาสนา แล้วก้เรื่องของการเข้าวัดทำบุญที่ต่างด้วยวิถีกัน อิสลาม ละหมาด มีการสวดอะไรต่างๆ พุทธก็จะมีนิยมประเพณีของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน แต่เค้าเป็นคนไทยพูดภาษาไทยเหมือนกัน แต่ว่าความแตกต่างทางวิถีปฏิบัติมันต่างกัน

คำถาม : วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาจารย์เคยได้เข้าไปศึกษาไหมครับว่าเค้าใช้ชีวิร่วมกันอย่างไร

อ.วรวุฒิ : จากการที่ได้ศึกษาพูดคุย ในเบื้องต้นจากการพานักศึกษาไปทัศนศึกษาลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับคนในชุมชน ก็พบว่ายากจังเลยดูลำบากจังเลยกับการที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันแล้วแตกต่างกันมากๆ แต่พอเราไปพูดคุย มันกลายเป็นว่า เค้าก็ทำกันมาแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมันเป็นวิถีชีวิตที่มันตกทอดกันมาแบบนี้ ก็คือคนพุทธเข้าใจคนอิสลาม ว่าเข้ามีข้อปฏิบัติเค้ามีข้อห้ามอะไรบ้าง คนอิสลามเองก็เข้าใจวิถีแบบพุทธว่าเค้ามีหลักศาสนาอย่างไร เราเชื่อว่าถ้าถามอิสลามว่า ศีล 5 ของพุทธมีอะไรบ้าง เค้าตอบได้ แล้วถ้าถามคนพุทธที่เข้าวัดพุทธว่า หลักศาสนาข้อห้ามของศาสนาอิสลามมีอะไรบ้างเค้าก็ตอบได้ เพราะฉนั้นเมื่อเค้าต่างคนต่างรู้ว่าหลักเกณฑ์ข้อห้ามแต่ละศาสนาต่างกันอย่างไร เค้าเข้าใจซึ่งกันและกัน เลยทำให้เค้าอยู่ร่วมกันได้ นี่คือสิ่งที่เราค้นพบจากการที่ได้พูดคุยกับเค้า แล้วมันก็กลายเป็นแบบแผนวิถีชีวิตที่ก็ทำกันมาแบบนี้ ไม่ได้ต้องฝืน ต้องยาก ต้องลำบาก แต่มันเป็นแบบนี้มาเป็น 100 ปี แล้วเค้าก็อยู่แบบนี้ได้แล้วมันก็มีความสุข แล้วสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า พื้นที่รอยต่อระหว่างชุมชนกับพุทธกับชุมชนอิสลาม ก็จะเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นเล็กๆอยู่ตรงกลาง แล้วก็มีกระดานบอร์ด มีการเขียนว่าทำบุญร่วมกัน มื้อเช้าเป็นหน้าที่ของคนพุทธ มื้อกลางวันเป็นหน้าที่ของคนอิสลาม คือกลายเป็นว่าภายใต้งานทำบุญงานเดียวกันมี 2 ศาสนาอยู่ร่วมกัน  แม้จะเป็นเพียงแค่กระดานชร์อค แต่พอนักศึกษาได้เห็น จะเห็นได้ว่ามันน่าสนใจมาก ในขณะที่เรากำลังหาคำตอบกันวุ่นวายไปหมดกับการที่ 3 ชุมชน ชายแดนภาคใต้จะอยู่ร่วมกันอย่างไรให้มีความสุข แต่ในพื้นที่ตรงนี้กับอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบชิวๆ แบบธรรมดา แบบไม่ต้องพยายาม อันนี้จึงเป็นสิ่งที่ ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน สถานศึกษาที่ไหนที่สอนเรื่องวัฒนธรรม ก็มักจะพามาที่ชุมชนกุฏีจีน

บรรยากาศชุมชนกุฎีจีน




          ชุมชนกุฎีจีนถือเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางด้านศาสนา และเเต่ละศาสนาจะทำให้เกิดวิถีการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ผู้คนก็สามารถอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างนี้ได้อย่างลงตัวเเละไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่กันและกัน ถือได้ว่าชุมชนกุฎีเป็นชุมชนต้นแบบในการอยู่ร่วมกันของผู้คนได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันของทั้งศาสนาและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน


บรรณานุกรม/อ้างอิง

1.)บรรณานุกรมฐานข้อมูลออนไลน์

คนึงนิจ  อนุโรจน์. ชุมชนกุฎีจีน  [ออนไลน์]. 
        เข้าถึงได้จาก : https://www.gotoknow.org/posts/609136  (วันที่สืบค้น : 11 ตุลาคม                 2561).

2.)ฐานข้อมูลบุคคล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรวุฒิ อ่อนน่วม.  รองคณะบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาวิทยาลัยนิเทศศาสตร์                      มหาวิทยาลัยรังสิตและอาจารย์ผู้สอนรายวิชาการสื่อสารในวัฒนธรรมไทย.
         อำเภอเมืองปทุม.  จังหวัดปทุมธานี.  สัมภาษณ์.  5 ตุลาคม 2561  



Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 4.0 International License.

กุฎีจีน พื้นที่แตกต่างที่ลงตัว

ความเป็นมา                   ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุ มชนของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่ อพยพมาจากกร...